1. การดูแลตรวจสอบทั่วไป
สายไฟฟ้า
ให้สังเกตดูฉนวน สี รอยแตก อุณหภูมิ หากผิดปกติควรเปลี่ยนใหม่
เซอร์กิดเบรคเกอร์
ให้ใช้หลังมือ และดูอุณหภูมิ หากสูงผิดปกติก็ควรตรวจแก้ไข
ขั้วต่อสาย
ให้ใช้หลังมือและดูอุณหภูมิตัวเบรกเกอร์ หรือใช้ตัววัดอุณหภูมิแบบใช้แสง หากผิดปกติก็ควรขันให้แน่น และตรวจสายไฟฟ้าที่ใช้งานรวมทั้งพิกัดโหลด
ระบบระบายอากาศในห้องไฟฟ้า
ตรวจวัดอุณหภูมิภายในห้อง หากสูงเกินปกติให้หาทางระบายอากาศออก หรือใช้เครื่องปรับอากาศ
ตรวจแบตเตอรี่
โดยทดสอบกดปุ่มทดสอบสำหรับไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน และทดลองสตาร์ทเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ได้ภายใน 30 วินาที รวมถึงตรวจดูระดับน้ำกลั่นของแบตเตอรี่สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ดูชั่วโมงทำงานของอุปกรณ์
เป็นการตรวจดูว่าชั่วโมงทำงานครบตามกำหนดการบำรุงรักษาแล้วหรือไม่
2. การตรวจสอบบำรุงรักษาอุปกรณ์
-ทดสอบกลไกการทริบ
-ทำความสะอาด
-ร่องรอยของความร้อน
-การต่อหรือขั้วต่อโดยดูการเปลี่ยนสี
-การตั้งค่าของ trip unit
ตู้เมนสวิตซ์บอร์ด MDB
-ฝาปิดเปิดหลวมหรือความเสียหาย
-หลอดไฟแสดงสภาวะการทำงานต่าง ๆ ใช้ได้หรือไม่
-มิเตอร์ อุปกรณ์เครื่องวัดต่าง ๆ ใช้งานได้หรือไม่
-Busbar สายชำรุดหรือไม่
-สายดิน ระบบการต่อลงดิน
-สิ่งกีดขวางพื้นที่ว่างในการปฏิบัติงาน
-ควรมีที่ว่างในการปฏิบัติงานอย่างเพียงพอห่างจากกำแพง 1.05 ม.กรณีมีตู้เมน 1 ตู้
-ควรมีที่ว่างในการปฏิบัติงานห่างกันประมาณ 1.20 ม. กรณีมีตู้เมน 2 ตู้
-ต้องมีทางเข้าอย่างน้อย 1 ทาง กว้างมากกว่าหรือเท่ากับ 0.60 ม. และสูง มากกว่า
หรือเท่ากับ 2.00 ม.
-ต้องมีทางเข้าอย่างน้อย 2 ทางในกรณีตู้เมนค่อนข้างกว้าง ประมาณ 1.80 ม. เพราะ
ถ้ามีทางเข้าทางเดียวอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
-ที่ว่างเพื่อปฏิบัติงานต้องเพียงพอสำหรับการเปิดประตูตู้หรือฝาตู้ได้อย่างน้อย 90
องศาในทุกกรณี
-ระยะห่างระหว่างแผงสวิตซ์แรงต่ำกับเพดาน ในกรณีเพดานทนไฟมากกว่า 0.60 ม.
ในกรณีเพดานไม่ทนไดมากกว่า 0.90 ม.
แผงย่อย
-ฝาปิดเปิดหลวมหรือความเสียหาย
-ตรวจขันขั้วต่อสายให้แน่นเสมอ
-Busbar สาย ชำรุด หรือมีรอยบาด มีรอยArc
-สายดิน ระบบการต่อลงดิน ถูกต้องหรือไม่
-ความร้อน การระบายอากาศ
-สิ่งกีดขวาง พื้นที่ว่างในการปฏิบัติงาน ต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 0.75 ม.
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
-หลอดไฟ อุปกรณ์เครื่องวัดของControl Panel
-อุปกรณ์ป้องกันขั้วต่อต่าง ๆ
-สายดิน ระบบการต่อลงดิน ถูกต้องหรือไม่
-น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น น้ำหล่อเย็น
-กรองอากาศ สายพาน ซีลยางต่าง ๆ
-สิ่งกีดขวาง ระบบระบายอากาศ
-แบตเตอรี่ และชาร์จเจอร์
งานระบบเครื่องกลภายในอาคาร หมายถึง งานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลทั้งหลายที่อยู่ในอาคาร ประกอบด้วยระบบต่าง ๆ ดังนี้
1. ระบบปรับอากาศ และระบายอากาศ
ชนิดของระบบปรับอากาศ
1.1 ระบบปรับอากาศแบบขยายตัวรับร้อนตรง (Direct Expansion)
1.1.1 เครื่องปรับอากาศแบบหน้าต่าง (Window Type)
-มีอุปกรณ์หลักของวงจรการทำความเย็นทุกอย่างควบคุมอยู่ในเครื่องเดียว
กัน
-ออกแบบให้เหมาะสำหรับกับการติดตั้งที่หน้าต่าง ผนัง โดยให้ด้านความเย็นอยู่ด้านในห้อง และส่วนด้านระบายความร้อนจะโผล่ยื่นออกไปนอกห้อง
-เป็นเครื่องขนาดเล็กประมาณ 1-2 ตัน เป็นแบบระบายความร้อนด้วย
อากาศ
-ติดตั้งง่าย แต่มีเสียงดัง
1.1.2 เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน (Split Type)
มีส่วนประกอบหลักอยู่ 4 ส่วน
1. ส่วนที่อยู่นอกห้อง เรียกว่า ชุดคอยล์ร้อน Condensing Unit จะมี
ส่วนประกอบภายในคือ Compressor เป็นหลัก และอุปกรณ์ย่อย เช่น คอยล์ระบายความร้อน พัดลมระบายความร้อน ชุดอุปกรณ์ระบบน้ำยา ชุดวาล์ว และตัวถังเครื่อง
2. ส่วนที่อยู่ภายในห้องเรียกว่า ชุดเป่าลมเย็น Fan coil unit มีส่วนประกอบหลัก คือ คอยล์เย็น พัดลมเป่าลมเย็น ชุดปรับแรงดันน้ำยา ถาดรับน้ำ และตัวถังเครื่องเป่าลมเย็น
Fan coil unit มีอยู่หลายแบบคือ
-แบบติดผนัง
-แบบแขวนใต้ฝ้า/ตั้งพื้น
-แบบแขวนซ่อนในฝ้า
-แบบแขวนเหนือฝ้าเพดาน
3. ระบบท่อน้ำยา มีส่วนประกอบหลัก คือ ท่อน้ำยา และฉนวนหุ้มท่อน้ำยา
4. ระบบไฟฟ้า และระบบควบคุม มีอุปกรณ์ประกอบ คือสวิตซ์ตัดคอมอัตโนมัติ Circuit Breaker ชุดควบคุมอุณหภูมิ Thermostat ชุดปิดเปิด และตั้งอัตราเร็วพัดลม
1.1.3 เครื่องปรับอากาศแบบสำเร็จครบชุดในตัว (Package Unit)
1.ลักษณะคล้ายกับ แบบหน้าต่าง แต่มีขนาดใหญ่กว่า โดยทั่วไปมีขนาด
ประมาณตั้งแต่ 5-30 ตัน
2.การระบายความร้อน มีทั้ง ระบายความร้อนด้วยอากาศ (Package Air
Cooled Air-Conditioner) กับระบายความร้อนด้วยน้ำ
(Package Water Cooled Air-Conditioner)
3. การส่งลมเย็น โดยส่วนมาก จะส่งผ่านท่อลม
4.นอกจากนี้ยังมีชนิดที่ตั้งบนหลังคา ซึ่งเรียกว่า Roof type
-การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
1. การติดตั้งชุดคอยล์ร้อน
-สถานที่ติดตั้งต้องให้อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่เกิดลมย้อนกลับ
-ไม่อยู่ห่างจากชุดคอยล์เย็นมากเกินไป
-ไม่อยู่สูงมากกว่าชุดคอลย์เย็นมากเกินไป
2.การติดตั้งชุดเป่าลมเย็น
-ตำแหน่งติดตั้งต้องกระจายลมได้ดี
-สามารถเข้าซ่อมแซมภายหลังได้โดยง่าย
-สามารถถอดแผงกรองอากาศได้โดยง่าย
3. การติดตั้งท่อน้ำยา ท่อน้ำทิ้ง และระบบควบคุม
-ต้องทำ Invert Loop ป้องกันน้ำยาเหลวไหลกลับ
-ต้องทำ U-trap ทุกระยะ 3 เมตร เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นไหลกลับ
-Thermostat ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
-การบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ แยกเป็น 3 ส่วนคือ
1. ส่วนชุดคอยล์ร้อน Condensing unit
-ต้องไม่มีสิ่งกีดขวางทางระบายลม
-ทำความสะอาดครีบระบายความร้อนให้สะอาดอยู่เสมอ
2. ส่วนชุดเป่าลมเย็น Fan coil unit
-ควรล้างแผงกรองอากาศ
-ควรทำความสะอาดครีบคอยล์เย็น
-ควรทำความสะอาดพัดลมเป่าลมเย็น
-ควรทำความสะอาดถาดน้ำทิ้ง
3. ส่วนท่อน้ำยา ท่อน้ำทิ้ง ระบบไฟฟ้า และระบบควบคุม
-ตรวจสอบระบบท่อน้ำยา ฉนวนหุ้มท่อน้ำยา ระดับน้ำยา
-ตรวจสภาพแนวสายไฟฟ้า จุดต่อสาย ปริมาณกระแสไฟฟ้า
-ควรปรับเปลี่ยนอุณหภูมิที่ตั้งไว้บ้างเป็นบางครั้ง
1.2 ระบบปรับอากาศแบบเครื่องทำน้ำเย็น (Water Chiller)
1. วงจรทำความเย็นเบื้องต้น ของเครื่องทำน้ำเย็น เหมือนกับเครื่องปรับอากาศทั่วไป แต่แทนที่ชุด Chiller จะทำความเย็นให้กับอากาศในห้องโดยตรง ก็นำไปทำความเย็นให้กับน้ำก่อน แล้วจึงนำน้ำเย็นที่ได้นั้นเป็นตัวกลาง ส่งผ่าน ระบบท่อน้ำ ไปยังเครื่องส่งลมเย็นอีกต่อหนึ่ง
2. สามารถสูบน้ำเย็น ส่งไปยังเครื่องส่งลมเย็นได้โดยง่าย
3. เครื่องทำความเย็น มีทั้ง
-เครื่องน้ำเย็น แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ Air-Cooled Water
Chiller) มีส่วนประกอบสำคัญ ดังนี้
1. เครื่องทำน้ำเย็น (Water Chiller)
2. เครื่องสูบน้ำเย็น (Chill Water Pump)
3.เครื่องส่งลมเย็น (Fan Coil Unit/Air Handling Unit)
4. ระบบท่อน้ำเย็น และอุปกรณ์ เช่น ฉนวน วาวล์ ข้อต่อต่าง ๆ
5. ระบบไฟฟ้า และระบบควบคุม
6. ระบบถังเติมสารเคมี
-เครื่องน้ำเย็น แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ Water-Cooled Water
Chiller) มีส่วนประกอบสำคัญ ดังนี้
1. เครื่องทำน้ำเย็น (Water Chiller)
2. หอระบายความร้อน (Cooling Tower)
3. เครื่องสูบน้ำเย็น (Chill Water Pump)
4. เครื่องสูบน้ำระบายความร้อน (Condensor Water Pump)
5. เครื่องส่งลมเย็น (Fan Coil Unit/Air Handling Unit)
6. ระบบท่อน้ำเย็น/ท่อน้ำระบายความร้อน และอุปกรณ์ เช่น ฉนวน
วาวล์ ข้อต่อต่าง ๆ
7. ระบบถังเติมสารเคมี
8. ระบบบำบัดน้ำ
9. อุปกรณ์ถังน้ำขยายตัว
10. ระบบไฟฟ้า และระบบควบคุม
11.-เหมาะสำหรับโครงการขนาดใหญ่
-ประสิทธิภาพสูง และประหยัดพลังงานมากกว่า
-การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบปรับอากาศ
1. เครื่องอัดสารทำความเย็น (Compressor)
-อุณหภูมิน้ำยาในอีแวปปอเรเตอร์ จะประมาณ40-45F
-อุณหภูมิของแก๊สที่ส่งจะประมาณ 100-105F
-ความดันน้ำมัน จะสูงกว่าความดันด้านดูด 1.5-3.0 Kg/cm
-อุณหภูมิน้ำมันทั่วไปควรมีค่าต่ำกว่า 55C
-น้ำมันต้องอยู่ในระดับที่กำหนด และมีความใส
-ประกับรับเพลา ต้องสามารถใช้มือสัมผัสได้
-ไม่เกิดเสียงดังผิดปกติ
-กรองน้ำมันหล่อลื่นต้องสะอาด
2. เครื่องควบแน่น (Condenser)
-อุณหภูมิน้ำหล่อเย็นทางเข้าไม่ควรสูงเกิน 90F
-อุณหภูมิหล่อเย็นทางออกจะสูงกว่าทางเข้าไม่เกิน 80F
-อัตราการไหลของน้ำหล่อเย็นประมาณ 2.8-3.2 GPM/Ton
-ความดันของน้ำยา
-แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ
อุณหภูมิอิ่มตัวของน้ำยาสูงกว่าอุณหภูมิที่ทางออก5.4 ถึง
10.8 F (3-6 C)
-แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
อุณหภูมิอิ่มตัวของน้ำยาสูงกว่าอุณหภูมิอากาศภายนอก
21.6 ถึง 30.6 F (12-17 C)
3. เครื่องระเหย (Evoparator)
-อัตราการไหลของน้ำเย็นประมาณ 2.0 – 2.4 GPM/Ton
-อุณหภูมิน้ำเย็นเข้าเครื่องไม่ควรสูงเกิน 55F
-อุณหภูมิน้ำเย็นออกจากเครื่องไม่ควรสูงเกิน 45F
4. อุปกรณ์จ่ายลมเย็น (AHU,FCU)
-อัตราการไหลของอากาศประมาณ 300-400 CPM/Ton
-สภาวะอากาศด้านจ่าย Supply Air 60-65F , 70-90% RH
-สภาวะอากาศด้านลมกลับ Return Air 70-80F , 45-60% RH
-อุณหภูมิกระเปาะแห้งของอากาศเข้าและออกไม่ควรต่างกันเกิน
20F
-อัตราการใช้พลังไฟฟ้า 0.2kw/TON
5. หอผึ่งน้ำ (Cooling Tower)
-อัตราการไหลของลมระบายความร้อน 100-250 CPM/TON
-อัตราการไหลของน้ำระบายความร้อน 2.8-3.2 GPM/TON
-พลังไฟฟ้าที่ใช้ขับพัดลม 20-25 W/TON
-อุณหภูมิน้ำระบายความร้อนที่เข้า 100-103F และออกที่ 90-93F
-สภาวะอากาศระบายที่เข้า 85-90 F, 55-65% RH
-สภาวะอากาศระบายที่ออก 95-100 F, 95-100% RH
ระบบลิฟต์
ลิฟต์ ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่ใช้ภายในอาคารทั่วไป ซึ่งหมายถึง พาหนะที่ใช้สำหรับบรรทุกผู้โดยสาร หรือสิ่งของขึ้นลงตามแนวดิ่ง โดยมีรางบังคับดังนี้
1. ลิฟต์โดยสาร
-เป็นลิฟต์ที่ใช้ขนส่งผู้โดยสารในอาคารต่าง ๆ โดยทั่วไป มีรูปห้องโดยสารเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เคลื่อนที่ตามรางบังคับในแนวดิ่ง
-มีขนาดบรรทุกตั้งแต่ 400-2000 กิโลกรัม (6-30 คน)
-ความเร็วตั้งแต่ 45 เมตร/นาที ถึง 300 เมตร/นาที
-ประตูเปิด-ปิด เป็นแบบ 2 บาน จากกึ่งกลางในแนวเดียวกัน
2. ลิฟต์สำหรับคนพิการ
3. ลิฟต์ขนของ
4. ลิฟต์เตียงคนไข้
5. ลิฟต์พนักงานดับเพลิง
6. ลิฟต์ส่งของ
-เป็นลิฟต์ที่มีขนาดเล็กกว่าลิฟต์ทั่ว ๆ ไป ซึ่งใช้สำหรับส่งเอกสารอาหาร และเครื่องดื่ม
-มีขนาดบรรทุกไม่เกิน 500 กิโลกรัม (ตั้งแต่ 50-500 กก.)
-ประตูเปิด-ปิดเป็นแบบ 2 บานไปทางเดียวกันแนวดิ่ง
-มี 2 แบบคือแบบ Floor Type และ แบบTable Type
7. ลิฟต์ชนิดอื่น ๆ
-ลิฟต์ชั่วคราวระหว่างการก่อสร้าง
-ลิฟต์สำหรับเวทีการแสดง
-ลิฟต์ในเหมืองแร่
-ลิฟต์ที่เคลื่อนที่ในแนวลาดเอียง
-ลิฟต์แบบไฮดรอลิกส์
-ลิฟต์แบบไม่มีห้องเครื่อง
ระบบควบคุมการขับเคลื่อน
ระบบควบคุมโดยแปรเปลี่ยนแรงเคลื่อนไฟฟ้า และความถี่ไฟฟ้า คือ ระบบควบคุมที่ใช้การแปรเปลี่ยน แรงเคลื่อนไฟฟ้า และความถี่ไฟฟ้าที่จ่ายให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อนลิฟต์ ระบบนี้ใช้กับ ลิฟต์ในปัจจุบันเป็นส่วนมาก
หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนตัวลิฟต์
1. เครื่องลิฟต์แรงฉุดจากแรงฝืด คือ เครื่องลิฟต์ที่ขับเคลื่อนตัวลิฟต์ โดยใช้ความฝึดระหว่างเชือกลวดแขวน กับ รอกขับเคลื่อน ซึ่งมีมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้นกำลังในการหมุนรอกขับเคลื่อนมี 2 แบบ ดังนี้
ลิฟต์ในปัจจุบันส่วนใหญ๋ใช้ระบบนี้
1.1 เครื่องลิฟต์ขับเคลื่อนด้วยเฟือง
ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าขับผ่านชุดเฟืองทดไปหมุนรอกขับเคลื่อน
1.2 เครื่องลิฟต์ขับเคลื่อนโดยตรง
ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ขับต่อโดยตรง กับรอกขับเคลื่อน
2.เครื่องลิฟต์รอกกว้าน คือ เครื่องลิฟต์ที่ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ผ่านไปหมุนรอกกว้าน
เชือกลวดแขวน
3. เครื่องลิฟต์ไฮดรอลิก คือ เครื่องลิฟต์ที่ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ไปขับเคลื่อนสูงน้ำมัน เข้าระบบไฮดรอลิก เพื่อขับเคลื่อนลิฟต์ให้เคลื่อนขึ้น และเคลื่อนลง โดยแรงโน้มถ่วง เมื่อปล่อยน้ำมันไหลกลับสู่ถังเก็บ
ระบบควบคุมในปัจจุบัน จะเป็น ระบบไมโครโปรเซสเซอร์ ซึ่งเมาแทนระบบรีเลย์ ซึ่งเป็นระบบเก่าหมดแล้ว มีการแบ่งชนิด
ตามสัญลักษณ์การจอดรับ-ส่งดังนี้
1. Up Collective -หยุดรับส่งเฉพาะขาขึ้น
2. Down Collective -หยุดรับส่งเฉพาะขาลง
3. Selective Collective or Up & Down Collective -หยุดรับส่งทั้งขาขึ้น และขาลง
ตามการจัดกลุ่มการจอดรับส่ง ดังนี้
1. Simplex Control -สำหรับตัวเดียว
2. Duplex Control -สำหรับ 2 ตัว
3. Triplex Control -สำหรับ 3 ตัว
4. Group Control -สำหรับ 4 ตัวขึ้นไป
Automatic Rescue device (ARD)
การทำงาน คือ เมื่อไฟฟ้าดับลิฟต์ค้างอยู่ระหว่างขึ้น ระบบนี้จะทำงานเพื่อขับลิฟต์ไปยังชั้นที่ใกล้ที่สุดโดยใช้ความเร็วต่ำ เปิดประตูออก และหยุดการทำงาน
ส่วนประกอบของ ARD ประกอบด้วยชุด Battery และชุดควบคุม
มีข้อจำกัดคือ จะไม่ใช้กับอาคารหรือช่วงที่ทำงานมากกว่า 10 ม. และไม่ใช้ระบบนี้กับอาคารที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ตรวจปุ่มกดทำงานถูกต้อง
ตรวจเช็คแผงควบคุม (Switch Box) จะต้องล็อคอยู่ตลอดเวลา
ตรวจเช็คแสงสว่างและพัดลมระบายอากาศภายในห้องโดยสาร
ตรวจเช็คการทำงานของ Safety shoes กับ Door Sensor
ตรวจเช็คธรณีประตู จะต้องไม่มีเศษวัสดุ
ตรวจเช็คการทำงานของโทรศัพท์
ทดลองลิฟต์วิ่งขึ้น-ลง ว่าเรียบร้อยดีไม่มีเสียง และไม่สั่น
ตรวจดูกุญแจเปิดประตูลิฟต์
การบำรุงรักษา ทุกระยะ 1 เดือน
-ตรวจเช็คการทำงานของวงจรเซฟตี้ทั้งหมด
-ตรวจเช็คสวิทซ์หน้าคอนแทค และกลไกของดอร์ล็อค
-ตรวจเช็คระดับชั้น (การจอดเสมอระดับขั้นหรือไม่)
-ตรวจการทำงานของชุดเซฟตี้ชูส์/ ไลท์เรย์
-ตรวจระบบไฟแสงสว่างฉุกเฉิน/กระดิ่ง อินเตอร์คอมฯ /แบตเตอรี่
-ตรวจผ้าเบรคและระยะการทำงานของเบรค
-ตรวจสัญญาณบอกชั้น ทิศทางการขึ้นลง และสัญญาณเสียงแจ้งเตือน
-ตรวจการทำงานของปุ่มกดหน้าชั้น สัญญาณบอกชั้น
-ตรวจเช็คอุณหภูมิมอเตอร์ และพัดลมระบายอากาศ
-ตรวจเช็ค และทดสอบการทำงานของชุดกัฟเวอเนอร์ โดยวิธี manual
การบำรุงรักษา ทุกระยะ 3 เดือน
-ตรวจเช็คสภาพการทำงานของหน้าคอนแทครีเลย์
-ตรวจเช็คทำความสะอาดแผงวงจรไฟฟ้า /ขั้วแบตเตอรี่
-ตรวจเช็คขั้นตอนการทำงานของระบบทั้งหมด
-ตรวจเช็คการทำงานระบบแสงสว่างฉุกเฉิน
-ตรวจเช็คชูส์ประตู โรลเล่อร์ประตู
-ตรวจเช็คทำความสะอาดราง/ รอกแขวนประตู และหล่อลื่นระบบประตู
-ตรวจเช็คสภาพการสึกหรอและการทำงานชุดกัฟเวอเนอร์
การบำรุงรักษา ทุกระยะ 6 เดือน
-ตรวจเช็คปรับตั้งลิมิตสวิทซ์
-ตรวจเช็คไฟแสงสว่างในช่องลิฟต์/บนหลังคาตัวลิฟต์
-ตรวจเช็คระดับน้ำมันของบัฟเฟอร์
-ตรวจเช็คสภาพของฉนวนที่สายเทรเวลลิ่งเคเบิล
-ตรวจเช็คสภาพและความดึงของลวดสลิงกัฟเวอเนอร์
-ทดสอบการทำงานของชุดป้องกันมอเตอร์
-ขันตรวจเทอร์มินอลของมอเตอร์ทุกตัว
การบำรุงรักษาทุกระยะ 12 เดือน
-ตรวจเช็คการทำงานของโอเวอร์โหลดรีเลย์
-ตรวจเช็คสกรูจุดต่อสาย/ระดับแรงดันไฟฟ้าภายในตู้คอนโทรลไฟฟ้า
-ตรวจทำความสะอาดรางตัวลิฟต์ และรางตุ้มน้ำหนัก
-ตรวจเช็คทำความสะอาดรอกขับ
-ตรวจเช็คขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลวดสลึงขับลิฟต์
-ตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์ และเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลาที่กำหนด
-ขันตรวจความแน่นของน๊อตยึดต่าง ๆ
-ตรวจเช็คมอเตอร์พัดลมระบายความร้อน และปริมาณแรงลม
-ถอดทำความสะอาดฟิวส์/ เซอร์กิตเบรดเกอร์
ควรจัดฝึกอบรมให้ความรู้กับผู้ดูแลลิฟต์ของอาคารให้มีความรู้ในเรื่อง
-การใช้งานลิฟต์อย่างถูกต้อง
-การบำรุงรักษาลิฟต์เบื้องต้น
-การช่วยเหลือผู้โดยสารออกจากลิฟต์ในกรณีลิฟต์ค้าง
3. สำหรับระบบเครื่องกลในอาคารอื่น ๆ เช่น
-ระบบก๊าซทางการแพทย์
-ระบบก๊าซเชื้อเพลิง LPG
-ระบบไอน้ำและน้ำร้อน
-ระบบอัดอากาศบันไดหนีไฟ
-ระบบขนส่งโดยท่อลม ฯลฯ
ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง
คือ รับน้ำเสียที่มีปริมาณและลักษณะไม่คงที่ (โหลดไม่คงที่) แต่น้ำทิ้งที่ออกต้องมีคุณภาพค่อนข้างคงที่ตามมาตรฐาน ปัญหาที่พบมากคือกลิ่น และฟองที่ฟุ้งออกจากบ่อให้อากาศ มีส่วนสำคัญทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียหลายแห่งไม่ได้เปิดเครื่องให้อากาศหรือเปิดก็เพียงเล็กน้อย ผลคือน้ำทิ้งก็จะไม่ผ่านมาตรฐาน
คุณภาพน้ำทิ้งหลังบำบัด คือวัตถุประสงค์หลักของงานบำบัดน้ำเสีย ส่วนสำคัญในการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย จำเป็นต้องมี 4 ส่วนคือ
1. งานตรวจสอบโหลดที่เข้าระบบในความถี่ที่เหมาะสม
2. งานตรวจสอบเครื่องจักร อุปกรณ์ และทำการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง และตามระยะเวลาที่เหมาะสม
3. งานปรับวิธีการเดินระบบให้เหมาะสม
4. งานตรวจสอบผลการเดินระบบซึ่งรวมสภาพความเป็นไปในทุกหน่วยของระบบบำบัด
สำหรับงานข้อ 2 และ3 เป็นงานที่ผู้ดูแลระบบพอที่จะควบคุมได้ตามที่ต้องการ โหลดที่เข้าระบบเป็นเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมได้ แต่อาจควบคุมให้นำเข้าบำบัดได้ในระดับหนึ่ง
ปัญหาที่พบในงานบำบัดน้ำเสียจากอาคาร
1. ระบบบำบัดที่มีอยู่ไม่สอดคล้องกับโหลดที่เข้าบำบัด
2. ตำแหน่งของบ่อบำบัด ยากต่อการบำรุงรักษา
3. ขาดการตรวจสอบเครื่องจักร อุปกรณ์
4. ผู้ดูแลระบบฯ ขาดความรู้ความเข้าใจวิธีการดูแลระบบ
5. ปัญหาการอุดตันของขยะในระบบท่อ
ตรวจสอบปริมาณน้ำเสีย สามารถวัดจากการใช้น้ำประปาของอาคาร และจำนวนผู้ใช้น้ำในแต่ละกิจกรรม วิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับบิลค่าน้ำ และเทียบค่าด้วยBODกับค่าความสกปรกของน้ำเสียของอาคารอื่น ๆ ที่มีลักษณะการใช้งานใกล้เคียงกัน
1. อัตราสูบจ่ายน้ำเสียเข้าบำบัด ปริมาณที่สูบจ่ายน้ำเสียเข้าแต่ละรอบ ทำได้ด้วยการปรับวาล์วที่ท่อจ่ายน้ำเสียเข้าบำบัด ตำแหน่งลูกลอยเพื่อเดิน และหยุดเครี่องสูบน้ำ และ/หรือเวลาที่ตั้งไว้ให้เครื่องสูบน้ำเดิน และหยุด การควบคุมส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ควบคุมโหลดที่เข้าบำบัดให้พอเหมาะกับความสามารถของระบบในขณะนั้น ๆ
2. ชั่วโมงการให้อากาศ ระบบบำบัดน้ำเสียส่วนมากจะมีการให้อากาศในส่วนที่เลี้ยงจุลินทรีย์เพื่อบำบัดปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำต้องมีมากเพียงพอที่จุลินทรีย์จะนำไปใช้ ถ้าเหลืออกซิเจนไม่พียงพอจะทำให้ได้น้ำทิ้งคุณภาพที่ไม่สะอาดพอ แต่ถ้าเติมอากาศมากไปก็อาจเกิดปัญหาจากมีจุลินทรีย์ที่จมตัวไม่ดีได้
3. สูบตะกอนส่วนเกินทิ้ง เมื่อเดินระบบไประยะหนึ่งจุลินทรีย์ในระบบจะเพิ่มจำนวนสะสมมากขั้น หลักการคือสูบออกให้สม่ำเสมอที่สุด เพื่อรักษาปริมาณตะกอนที่เหลือให้สอดคล้องกับโหลดที่จะบำบัด